ล้างพิษ คือ กระบวนการใดๆ ที่เอื้อให้ร่างกายสามารถกำจัดพิษ สารเสีย สารก่อโรคที่บั่นทอนสุขภาพทั้งกายและใจ ให้ลดลงหรือหมดไปจากร่างกาย
การล้างพิษเป็นหลักการประการหนึ่งของการแพทย์แผนธรรมชาติ มีความเป็นมาจากประเพณีและการแพทย์พื้นถิ่นของหลายชนชาติ ฮิปโปเครติส กล่าวว่า “เราทุกคนมีแพทย์ประจำกาย เราเพียงแต่ส่งเสริมเขาเพียงเล็กน้อย ก็รักษาโรคของเราได้ การกินอาหารยามเจ็บป่วยเท่ากับการเติมพลังแก่โรคร้ายให้กำเริบขึ้น” อันแสดงถึงว่าเขาใช้หลักการอดเพื่อสุขภาพในการรักษาโรคภัย
นักชีวเคมีได้ค้นพบสารชีวเคมีกลุ่มหนึ่ง ชื่อว่า “อนุมูลอิสระ” มนุษย์เราได้รับสารอนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายจากสิ่งต่างๆ ที่ล้วนรายรอบตัว ดังนี้
- อาหารปิ้ง ย่าง หรือทอดจนเกรียมจัด
- สารเคมีในอาหาร สารแต่งสี สารแต่งกลิ่น สารกันบูด
- ยารักษาโรค
- ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง
- โลหะหนักและควันพิษ
- กรดไขมันไม่อิ่มตัวเมื่อทำปฎิกิริยากับออกซิเจน ในกระบวนการหืนของน้ำมัน
- กรดไขมันไม่อิ่มตัวเมื่อถูกความร้อนจัดๆ จากการทอดอาหารในน้ำมันซ้ำๆ
- เขม่า ควันไฟ และควันบุหรี่
- รังสีเอ็กซ์ รังสีแกมมา คลื่นรังสีจากคอมพิวเตอร์ หรือคลื่นพลังแม่เหล็กต่างๆ
- สารเคมีบำบัดที่ได้ทำปฎิกิริยากับเซลล์มะเร็ง และเซลล์ของร่างกาย อนุมูลอิสระก็ยังเกิดขึ้นภายในร่างกายของคนเรา
- ความเร่งรีบ ความเคร่งเครียด จะไปเร่งให้เพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกาย เพิ่มการสร้างอนุมูลอิสระ
โรคจากอนุมูลอิสระ
สารพิษอนุมูลอิสระเป็นสาเหตุของการเกิดโรคในกลุ่มสำคัญๆ หลายชนิด ทั้งโรคของภูมิต้านทาน โรคมะเร็ง และกลุ่มโรคความเสื่อมของร่างกาย ได้แก่ โรคไขมันเลือดสูง โรคความดันเลือดสูง โรคหัวใจ โรคอัมพาต โรคข้อเสื่อม โรคข้ออักเสบ ภาวะเหี่ยวย่นของผิวหนัง โรคต้อกระจก โรคภูมิต้านทานไวเกิน โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด และโรคมะเร็งชนิดต่างๆ
สารต้านอนุมูลอิสระ – แอนติออกซิแดนด์
“อนุมูลอิสระ” จะถูกทำลายลงได้ ด้วยกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ แอนติออกซิแดนต์ ดังนี้
- เอนไซม์ที่อยู่ในเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะที่ตับ ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเตส (SOD) หรือโคเอนไซม์ Q10
- วิตามินเกลือแร่หลายชนิด ได้แก่ วิตามินเอ – เบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี เซเลเนียม โปรแอนโธชัยแอนิดีน ไอโซฟลาโวน
วิธีการล้างพิษ
1. การกินเพื่อล้างพิษ ก็คือการกินผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง อาหารไม่ดัดแปลง อาหารที่ปลอดสารพิษ การกินแบบนี้ ทำให้ร่างกายได้รับปริมาณของวิตามิน และเส้นใยเข้าไปอย่างมหาศาล ฉะนั้นจึงช่วยให้ร่างกายสามารถขจัดสารพิษออกมาได้ดีขึ้น นี้เป็นวิธีการที่เราใช้กันอยู่แล้ว แต่ว่าในปัจจุบันการใช้วิธีนี้เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ด้วยเราอยู่กับมลพิษในสิ่งแวดล้อม เราจึงต้องการกระบวนการที่มาของภาพ และข้อมูลกขึ้นกว่านั้นในการขจัดสารพิษออกจากตัว วิธีที่เรามักจะใช้ร่วมกันคือ วิธีที่ 2
2. การอดล้างพิษ คือการอดอาหารที่เรากำลังจะกล่าวถึงต่อไป มีส่วนช่วยให้ร่างกายขจัดสารพิษได้มากขึ้น
3. การสวนล้างลำไส้เพื่อล้างพิษ ที่เราเรียกกันว่า ดีท๊อกซ์ คือวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ร่างกายขจัดสารพิษได้ดียิ่งขึ้น แต่ทั้งกระบวนการที่หนึ่ง สอง สาม นี้เป็นกระบวนการที่กระตุ้นการขับพิษที่เป็นสสารเท่านั้น ส่วนพิษที่เป็นคลื่นพลัง จำพวกคลื่นพิษทางอารมณ์ เป็นพิษที่ยังขจัดไม่ได้ต้องใช้กระบวนการที่สี่ และห้าเข้ามาช่วย
4. การฝึกลมปราณ เพื่อล้างพิษ เช่นการฝึกชี่กง ไท้เก๊ก โยคะ
5. การทำสมาธิเพื่อล้างพิษ เป็นการล้างพิษทางอารมณ์
6. กระบวนการคีเลชั่น เป็นวิธีการใหม่ซึ่งใช้มานานแล้วในทางยุโรป พบว่าสารพิษบางอย่างพวกโลหะหรือโลหะหนัก เช่น ปรอท ตะกั่ว จะสะสมอยู่ในร่างกาย ดังนั้นถ้าเราจะขับพิษพวกนี้ออกมาต้องใช้สารอีกจำพวกหนึ่งที่ไปจับกับโลหะได้ดี ที่ค้นพบตัวแรกๆ คือ อีดีทีเอ(EDTA) เป็นสารที่ใส่ไว้ในหลอดแก้วเวลาเราไปเจาะเลือดตรวจร่างกาย เช่น ตรวจซีบีซี(CBC) เนื่องจากอีดีททีเอ กับพวกประจุบวกของแคลเซียมจะทำให้หยุดการแข็งตัวของเลือดได้ การทำคีเลชั่น ใช้วิธีฉีด วิธีกิน หรือบางครั้งใช้วิธีเหน็บ อีดีทีเอจะเข้าไปจับกับโลหะหนักที่อยู่ในเลือดของเรา และถูกขับออกมาพร้อมปัสสาวะ เป็นวิธีการที่สามารถขจัดโลหะหนักออกมาได้มากขึ้น จะเห็นได้ว่าควรใช้หลายๆ วิธีร่วมกัน หากต้องการที่จะล้างพิษให้ครอบคลุมทุกชนิด
การคลายเครียดและฝึกสมาธิช่วยลดอนุมูลอิสระ
กระบวนการล้างพิษวิธีนี้ ใช้หลักการอดเพื่อสุขภาพ และทำจิตใจให้สงบ สามารถช่วยให้ร่างกายได้พัก ลดการสร้างอนุมูลอิสระตัวใหม่ เปิดโอกาสให้เซลล์ตับและเซลล์ร่างกายได้ทำหน้าที่ขจัดอนุมูลอิสระที่มีอยู่เดิมให้หมดไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ
|